สงสัย
เป็นคนไข้ของราชเทวี แต่ปัจจุบันรักษาหายแล้วค่ะ ขอเรียนถามดังนี้ค่ะ
1. ระหว่างวิตามิน E เป็นแคปซูล (ของ Smooth E) กับ AHA 6% (ยาของราชเทวี) ควรทาอย่างไหนก่อนกัน ซึ่งยา 2 ตัวนี้ใช้แล้วไม่แพ้ค่ะ
2. การทานน้ำผักและผลไม้แบบทำแยกกาก กับทานผลไม้ทั้งลูกหรือแบบน้ำปั่น อย่างไหนให้ประโยชน์มากกว่ากันคะ และตัวเอนไซม์เกี่ยวข้องอย่างไร
3. น้องอายุ 28 ปีควรทำการนวดหน้าหรือไม่ (เพราะการนวดหน้าทำให้ใบหน้าสดชื่นและสบายกับทำ AHA ที่ราชเทวี อย่างไหนดีกว่ากัน
4. ทราบว่าราชเทวีออกกฎใหม่ถ้า 3 เดือนคนไข้ไม่พบหมอ จะไม่สามารถซื้อยาได้ น้องว่าไม่ถูกต้องนะคะ ไม่อยากให้มีกฎแบบนี้เหมือนบังคับผู้บริโภค เช่น ถ้าตัวน้องเองปัจจุบันหายแล้วใช้แต่เจลล้างหน้าและ AHA เท่านั้น ซึ่งก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพบหมอใช่ไหมค่ะ รบกวนช่วยพิจารณาในข้อนี้ด้วย
ขอบคุณสำหรับทุกคำถาม
คำถามที่:Q9844| จากคุณAnonymous| 23/07/2545 18:23 น.
1) วิตามิน E เป็นแคปซูล อยู่ในรูปของเจลซึ่งดูดซึมสู่ผิวหนังได้เร็วกว่าเนื้อครีม ดังนั้น จึงควรทาวิตามิน E ก่อนแล้วจึงทา 6% AHA CREAM ค่ะ
2) แน่นอนค่ะ การรับประทานผักและผลไม้ทั้งกากหรือทั้งลูก ย่อมให้ประโยชน์มากกว่าการรับประทานเฉพาะน้ำ เนื่องจากกากผักและผลไม้เป็นกากใยอาหารหรือ Fiber ซึ่งมีประโยชน์ต่อระบบการย่อยอาหารและขับถ่ายของร่างกายค่ะ
3) การนวดหน้าทำให้รู้สึกสดชื่นและสบาย แต่ประโยชน์ต่อผิวพรรณนั้นขึ้นกับครีมหรือสารที่ใช้นวดหน้าด้วยค่ะ
ส่วนใหญ่มักมีครีมบำรุงที่ทำให้หน้าชุ่มชื้นและนุ่มขึ้น ส่วนครีมบางชนิดถ้าดูดซึมลงผิวหนังได้ดี ก็ให้ประโยชน์ตามคุณสมบัติของแต่ละตัว แต่ถ้าเป็นครีมที่ไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวก็ไม่ได้ประโยชน์อย่างไร
นอกจากนี้ การนวดหน้าจะได้ประโยชน์ถ้าเป็นการนวดที่ถูกวิธี ซึ่งมีการฝึกสอนตามสถาบันที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่เพียงแค่เอาครีมมาทาบนผิวหน้าแล้วใช้นิ้วมือถูไปถูมาค่ะ
ส่วนการทำ AHA Treatment นั้น จุดประสงค์มีหลายอย่าง เช่น ลบรอยดำจากสิว ฝ้า กระ ลบและชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น ทำให้หน้าใสและชุ่มชื้น ปรับสีผิวหน้าที่ไม่สม่ำหรือในโรคผิวหนังบางอย่าง เช่น ขนคุด
ดังนั้นการเลือกบำรุงหน้าว่าจะทำอะไร ต้องขึ้นกับสภาพผิวหน้าของน้องและจุดประสงค์ของการทำค่ะ
4) น้องคงได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนมานะคะ กฎที่ว่าไม่สามารถซื้อยาได้ถ้าไม่พบหมอใน 3 เดือนนั้น เป็นกฎเฉพาะยาในกลุ่มยารักษาฝ้าค่ะ *เหตุผลที่ออกกฎนี้ก็เพื่อประโยชน์ของคนไข้เอง เพราะการรักษานั้นควรพบแพทย์เพื่อติดตามดูแลการเปลี่ยนแปลงของฝ้า เพื่อปรับเปลี่ยนยาที่ใช้รักษาอยู่ บางครั้งคนไข้ทายาหนาและมากเกินไปจนหน้าระคายเคืองก็มีค่ะ ถ้าคลินิกขายยาต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้รายได้เข้าคลินิก แต่ที่มีกฎนี้ก็เพื่อประโยชน์และการให้ผลการรักษาอย่างดีที่สุดต่อคนไข้ค่ะ
ตอบโดย:พญ. นันทิรัตน์ รุ่งศักดิ์แสงมณี| วันที่ 05/08/2545

จาก: 0 คน
VIEWS
4738