ยาทาน
เรียนถามคุณหมอท่านใดก็ค่ะ ช่วยชี้แจงหน่อยนะคะ การทานยากรดวิตามิน เอ ควรทานต่อเมื่อกรณีที่คนไข้มีการอักเสบรุนแรงใช่มั้ยคะ และยาดังกล่าวมีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก นอกจากอาจทำให้ผิวแห้งแล้วยังส่งผลต่อตับและไตอีกด้วย และนอกจากที่กล่าวมาแล้วอาจมีผลต่อทารกในครรภ์

ดิฉันสงสัยว่าทำไมแพทย์ถึงไม่ชี้แจงรายละเอียดดังกล่าวเพียงแต่บอกว่าไม่ใช้ในหญิงตั้งครรภ์และอาจทำให้ผิวแห้ง แต่ไม่แจ้งในกรณีที่เป็นอันตรายต่อตับและไต ทั้งๆ ที่รายละเอียดดังกล่าวมีความสำคัญมากและเป็นสิทธิของคนไข้ที่จะต้องทราบรายละเอียดดังกล่าว เพราะคงไม่มีใครต้องการให้หน้าสวยแต่ไตพิการหรอกนะคะ และกรณีของลูกสาวดิฉันทั้งๆ ที่ไม่มีการอักเสบรุนแรง มีการอักเสบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แทบไม่มีซะด้วยซ้ำ ทำไมแพทย์ถึงยังจะจ่ายยาดังกล่าว มิหนำซ้ำยังไม่แจ้งรายละเอียดผลกระทบของยาให้ทราบ รบกวนช่วยชี้แจงด้วยนะคะ

คำถามที่:Q9629| จากคุณAnonymous| 25/05/2549 21:20 น.
ในปัจจุบันการใช้ยาในกลุ่มกรดวิตามิน เอ ในการรักษาสิวมีข้อบ่งชี้ในการใช้กับสิวในหลายลักษณะ
1. สิวที่เป็นรุนแรง ซึ่งจำเป็นต้องให้ในขนาดที่สูง ( Dose สูง ) เช่น อาจต้องรับประทานวันละ 2-8 เม็ด ( หรืออาจมากว่า โดยการให้ยาจะคำนวณตามน้ำหนักตัวของคนไข้ ตามปรกติยากลุ่มนี้จะมีขนาดเม็ดละ 10 และ 20 mg. ) จนกระทั่งสิวยุบ ซึ่งการให้ยา Does สูงนั้นอาจต้องพิจารณาเรื่องการตรวจเช็คตับเป็นระยะๆ ในช่วงที่ได้ยา และจำเป็นต้องคุมกำเนิดในรายที่อาจจะมีปัญหาในการตั้งครรภ์ เพราะยา Does สูงมีผลต่อพัฒนาการของเด็กในครรภ์ การให้ยาใน Dose ที่สูงนั้นควรจะอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
2. สิวที่เป็นไม่มากแต่ควบคุมยากจากการรักษาปรกติ ( การทายา หรือรับประทานยาแก้อักเสบ ) หรือในรายที่เป็นสิวเรื้อรังที่รุนแรงที่รักษาจนหายแล้ว แต่ให้ยาเพื่อเป็นการควบคุมอาการ การให้ยาแบบนี้มักให้ยาในขนาดต่ำ ( Does ต่ำ ) เช่น ต่ำกว่าวันละ 10 mg. ( 1 เม็ด ) หรือบางคนอาจจะให้รับประทานแค่อาทิตย์ละ 2-3 เม็ด ( 20-30 mg. ) การให้ยาในขนาดต่ำนี้ไม่เป็นอันตรายเหมือนกับการให้ยาแบบแรก ซึ่งในทางการแพทย์มีการทดสอบแล้วว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ( แต่อย่างไรก็ตามควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะในปัจจุบันมีคนไข้ที่แอบไปซื้อยากินเอง ทั้งที่แพทย์สั่งให้หยุดแล้วก็มี )

ความจริงแล้วกรดวิตามิน เอ นั้นในธรรมชาติเราก็ได้จากอาหารอยู่แล้ว ( ในอาหารที่มีวิตามิน เอ ) แต่ระดับของกรดวิตามิน เอ ที่ได้จากอาหารนั้นมีปริมาณต่ำเกินกว่าที่จะใช้ในการรักษาสิว

และตามปรกติการให้ยาในกลุ่มนี้ เราจะมีเอกสารชี้แจงรายละเอียดถึงผลข้างเคียงต่างๆ และเซ็นยินยอมรับการรักษา ซึ่งหากคนไข้ไม่มีความประสงค์ที่จะกินยาหลังจากที่อ่านเอกสารก็สามารถปฏิเสธการรักษาได้ครับ

ตอบโดย:ราชเทวีคลินิก| วันที่ 29/05/2549

จาก: 0 คน
VIEWS
2848