เพื่อให้ได้ข้อมูลชัดเจน ผมได้ดึงข้อมูลเกี่ยวกับยาตัวนี้จากเอกสารของบริษัทฯ ยาเองให้คุณอ่าน
คำแนะนำในการใช้ยา
1. รับประทานยาหลังอาหารทันที ห้ามผู้ป่วยเคี้ยวหรือดูดแค็บซูล
2. เมื่อผู้ป่วยลืมรับประทานยาครั้งใดห้ามนำเอาไปรวมกับยาครั้งต่อไปให้มากขึ้นเป็นอันขาด
3. ห้ามนำยาที่แพทย์สั่งจ่ายสำหรับผู้ป่วยรายใดรายหนึ่งไปให้ผู้อื่นรับประทาน แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นสิวเช่นเดียวกับผู้ป่วย การใช้ยาจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ผิวหนังโดยเคร่งครัด
4. ไม่ควรบริจาคโลหิตขณะอยู่ในช่วงการรักษาสิวด้วยยานี้ จะบริจาคโลหิตได้หลังจากหยุดใช้ยาแล้วหนึ่งเดือน
5. ให้เก็บยาไว้ในที่ที่เด็กเอื้อมไม่ถึงตลอดเวลา
6. ห้ามตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรขณะรับประทานยานี้
7. ต้องแจ้งให้แพทย์ผู้รักษาทราบเสมอว่าท่านกำลังรับประทานยาอย่างอื่นอยู่ด้วยหรือไม่ เพราะยาบางชนิดอาจทำ ปฏิกริยากับยานี้ ถ้ารับประทานร่วมกัน
ผลที่อาจจะเกิดขึ้นขณะรับประทานยา
1. หลังรับประทานยาได้ 1-2 สัปดาห์ ผิวหนังและศีรษะจะเริ่มมันน้อยลงหรือแห้งกว่าเดิม
2. ในผู้ป่วยบางรายเมื่อรับประทานยาไป 1-2 สัปดาห์ สิวอาจเห่อเป็นมากขึ้นชั่วคราวแล้วค่อยๆ ยุบลงเมื่อรับประทานยาต่อไป ถ้าสงสัยกรุณาสอบถามแพทย์ผู้รักษา
3. สิวจะเริ่มทุเลาลงหลังจากรับประทานยาไปนาน 3-4 สัปดาห์ สิวจะเป็นน้อยลงไปเรื่อยจนถึงปลายเดือนที่ 4 สิวส่วนใหญ่จะหายไป
การปฏิบัติตนเมื่อเกิดอาการข้างเคียง
อาการข้างเคียงอาจจะเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยที่รับประทานยา อาการข้างเคียงมักจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก ของการใช้ยา แพทย์ผิวหนังสามารถแนะนำวิธีเพื่อบรรเทาอาการเหล่านี้ได้อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นมีดังนี้
1. อาการข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด คือ ริมฝีปากแห้งปากแห้งและผิวหนังแห้ง การใช้วาสลินหรือขี้ผิ้งทาปากหรือใช้โลชั่นทาผิวจะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวได้
2. ในบางรายอาจมีใบหน้าแดงกว่าปกติในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกเท่านั้นซึ่งจะทุเลาและหายไปได้เอง
3. บางรายอาจมีอาการแห้งของเยื่อบุรูจมูก การใช้วาสลินทารูจมูกวันละ 2 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการอย่างดี
4. ผู้ที่ใส่เลนส์สัมผัสหากมีอาการตาแห้งให้ใช้น้ำตาเทียมหยอดตา
5. ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีผิวหนังไวต่อแสดงแดดกว่าปกติ ดังนั้นขณะที่รับประทานยาควรหลีกเลี่ยงแดดจัดๆ หรือใช้ครีมกันแดดทา
6. ในบางรายอาจพบอาการข้างเคียงอื่นๆ ได้บ้างแต่น้อยรายมาก หากมีอาการควรกลังไปพบแพทย์ผู้รักษา
ข้อควรทราบสำหรับผู้ป่วยหญิง
ยานี้เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อทารกจึงจำเป็นที่ผู้ป่วยหญิงจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้อย่างเคร่งครัด
- ในระหว่างการรักษาด้วยยานี้ห้ามมิให้ผู้ป่วยตั้งครรภ์ ถ้าผู้ป่วยคิดว่าอาจจะตั้งครรภ์ ควรตรวจสอบการตั้งครรภ์ก่อนการรักษาด้วยยานี้
- ผู้ป่วยจะต้องป้องกันการตั้งครรภ์โดยใช้วิธีคุมกำเนิดอย่างเคร่งครัดตลอดเวลาที่รับประทานยานี้ และจะตั้งครรภ์ได้ หนึ่งเดือนหลังจากหยุดใช้ยานี้แล้ว
- ถ้าผู้ป่วยตั้งครรภ์ขณะที่รับประทานยานี้หรือตั้งครรภ์ภายใน 1 เดือนหลังจากหยุดใช้ยา ให้ผู้ป่วยแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
- ผู้ป่วยต้องงดการให้นมบุตร ขณะที่รักษาด้วยยานี้
ข้อควรทราบสำหรับผู้ป่วยชาย
- ยานี้ไม่มีผลต่อระบบสืบพันธุ์ของผู้ชาย ไม่ทำให้เป็นหมัน และไม่ก่อนให้เกิดความผิดปกติต่อสเปิร์มแต่ประการใด
ตอบโดย:นพ. สกุล นครชัย|
วันที่ 23/09/2553