ตอบข้อ 1 ก่อนรู้วิธีการรักษา เราลองทำความรู้จักกับผิวกับผิวแตกลายกันก่อนนะคะ
ผิวแตกลาย (Striae or stretch marks)
เกิดจากการขยายตัวของผิวหนังอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น ทำให้เกิดการฉีกขาดในโครงสร้างของ Collagen , Elastin ใต้ผิว กลายเป็นแผลเป็นในชั้นหนังแท้ มักพบในคนตั้งครรภ์, วัยรุ่นที่โตเร็ว หรืออ้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว พบได้ในบริเวณหน้าท้อง, ต้นขา, สะโพก, น่อง แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
1. ระยะแรก ( early staye ) จะเริ่มรู้สึกคัน และผิวหนังบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อๆ การรักษาระยะนี้ทำได้ง่ายกว่าและยังได้ผลค่อนข้างดี
2. ระยะท้าย ( late stage) แถบสีแดงเรื่อๆ จะเริ่มจางลงเรื่อยๆ จน จางกว่าผิวปกติ เกิดเป็นเส้นสีขาว ผิวหนังบาง และยุบตัวลง รอยแตกในระยะนี้รักษายากมาก
การรักษา
ควรรักษาแต่เนิ่นๆ ในระยะแรก หากทิ้งไว้นานจนรอยแตกลายเป็นสีขาว และบุ๋ม จะยิ่งยากขื้น
เป้าหมาย คือ ทำให้จางลงให้มากที่สุด เพราะคงยากที่จะทำให้หายทั้งหมดค่ะ
วิธีการรักษาในระยะแรก
1. ยาทาอนุพันธ์ กรดวิตามิน เอ ( topical retinoid therapy ) เช่น tertinoin 0.05 -0.1% ได้ผล 10%
2. การใช้สารชนิดผลัดเซลล์ผิว (chemical peels) เช่น AHA , TCA, salisylic acid ได้ผลประมาณ 10-30% ค่าใช้จ่ายหลักร้อย/ ครั้ง
3. การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี ( Microdermabrasion ) ได้ผล 10-30% ค่าใช้จ่ายหลักพัน/ ครั้ง ( 1,500 -1,800 บาท/ ครั้ง )
4. เลเซอร์ทำลายรอยแดง ( Pulsed dye laser ) ได้ผลประมาณ 30 -70 % มักทำทุก 2 สัปดาห์
5. แสงความเข้มสูง ( FDL , IPL ) ประมาณ 6 – 10 ครั้ง ค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000 – 10,000 บาท/ครั้ง ขึ้นอยู่กับขนาดของบริเวณที่เป็น
วิธีการรักษาในระยะท้าย มักทำได้ยากและต้องอาศัยเทคโนโลยีมากขึ้น ได้แก่
1. แสงความเข้มสูง ( FDL , IPL ) : ปรับรอยแตกได้เล็กน้อย
2. long pulsed Nd: YAG LASER : กระตุ้นรอยแตกตื้นขึ้นได้บ้าง ประมาณ 10-30%
3. carboxytherapy : ให้ผลประมาณ 50-80%
4. Fraxel Laser Treatment : วิธีล่าสุดให้ผลประมาณ 60-100%
5. อื่น ๆ ที่มีงานวิจัยออกมาบ้าง เช่น Radiofreguency , Non-ablative 1450 nm. diode laser , Growth hormone เป็นต้น
กล่าวโดยสรุป คงต้องอาศัยหลายวิธีร่วมกันค่ะ และอาจต้องรอวิธีการรักษาใหม่ๆ ในอนาคตที่จะช่วยรักษาได้จำเพาะเจาะจง และได้ผลที่ดีที่สุด คุณ mmaayy ลองศึกษาและเลือกพิจารณาดูนะคะ สำหรับคนอื่นๆ หมอแนะนำไว้ก่อนว่าการป้องกันผิวแตกลาย ง่ายกว่าการรักษาเยอะเลยค่ะ
ตอบข้อ 2 แผลเป็นนูน พบได้ 2 ภาวะ คือ
1. แผลเป็นนูนที่เกิดจากปฎิกิริยาของร่างกายเพื่อให้แผลหาย
( Hyperthrophic scar ) จะเป็นเนื้อนูนอยู่ "ภายใน" ขอบเขตแผลเดิม
2. แผลคีลอยด์ (Keloid) เป็นเนื้อนูน "ยื่นออกนอก" ขอบเขตของแผลเดิมมาก มีอาการคัน และเจ็บได้ มักเกิดบริเวณหน้าอก จากสิว , บริเวณไหล่ จากการฉีดวัคซีน, ติ่งหู หลังการเจาะหู หรือเป็นบริเวณแผลผ่าตัด เช่น ผ่าตัดคลอด เป็นต้น
การรักษา ยังไม่มีวิธีการใดรักษาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ต้องอาศัยการผสมผสานหลายวิธีร่วมกัน จะได้ผลดีที่สุด
1. การฉีดสเตียรอยด์ (Triamcinolone acetonide) นิยมมากที่สุด ฉีดเข้าที่แผลนูนโดยตรง เพื่อสลายเนื้อแผลเป็น ถ้าเป็นแผลขนาดเล็ก ไม่แข็งมากนักมักได้ผลดี แผลขนาดใหญ่ได้ผลพอใช้ มีโอกาสเป็นใหม่ ประมาณ 30 – 50% แพทย์จึงมักจะนัดมาฉีดซ้ำหลายครั้ง ความถี่ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแผล วิธีนี้ง่าย, ราคาไม่แพง ( ประมาณ 300 – 800 บาทขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำยาที่ใช้) ปัจจุบันพบว่าการฉีดยาสเตียรอยด์ร่วมกับ 5 –Fluorouracil ( 5 – FU ) จะทำให้ได้ผลมากขึ้น
2. Liquid nitrogen : ใช้ความเย็นจี้ทำลายเนื้อแผลเป็น, ได้ผลปานกลาง
3. การแปะแผ่น Silicone gel บริเวณแผลเป็นทุกคืนหรืออย่างน้อย 12 ชม. / วัน นาน 4 – 6 เดือน มักจะเริ่มใช้ตั้งแต่เริ่มมีแผลใหม่ๆ ทำให้ผิวได้รับแรงกด และความชุ่มชื้น ช่วยลดอาการเจ็บ, คัน, คีลอยด์เล็กและนุ่มลงได้
4. เจลซิลิโคน รูปแบบเป็น gel ใช้ทาบริเวณแผลเป็นวันละ 2 ครั้ง ให้ผลคล้ายกับแผ่นแปะ Silicone gel
5. แผ่น plaster ปิดแผลเป็น ได้แก่ Hannaplast สามารถปิดได้ประมาณ 12- 24 ชม. เปลี่ยนทุก 1 – 2 วัน
6. ครีมรักษาแผลเป็น : Contractubex หรือ Mederma เป็นส่วนผสมระหว่าง allantoin, cepaeและ heparin ช่วยทำให้แผลเป็นนุ่มขึ้น และ ราบลง
7. เลเซอร์ ( Nd:YAG, Pulsed Dye LASER ) และแสงความเข้มสูง ( IPL) ทำให้ลดความเข้มของสี และช่วยไม่ให้คีลอยด์โตมากขึ้นได้
8. การผ่าตัดตกแต่ง มีอยู่หลายเทคนิคขึ้นอยู่กับรูปแบบของแผลที่เป็น แผลคีลอยด์อาจใช้วิธีการตัดออกหรือลดขนาดลงบางส่วน มักทำเฉพาะกรณีเป็นคีลอยด์ใหญ่ เพราะอาจเกิดคีลอยด์ใหม่หลังผ่าตัด และอาจใหญ่กว่าเดิมด้วยซ้ำ จึงควรทำร่วมกับการฉีดยาสเตียรอยด์ เพื่อป้องกันการกลับเป็นใหม่ หรือร่วมกับทายาปรับภูมิต้านทานผิว (Immunomodulator) เช่น Imiquimod, Tracolimus หรืออาจร่วมกับการฉายแสงก็ได้
จะเห็นได้ว่าเมื่อมีแผลเป็นนูนเกิดขึ้นแล้ว ยากต่อการรักษามากนะคะ และไม่สามารถจะทำให้กลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิมได้ ฉะนั้นการป้องกันการเกิดแผลเป็นนูนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดค่ะ โดยหลีกเลี่ยงการเกิดบาดแผลที่ผิว, เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้นไม่แกะเกาบีบหรือรบกวนบาดแผล การดูแลเมื่อมีแผลใหม่ๆ แนะนำให้นวดหรือกดบริเวณนั้นๆ โดยทั่วไปการนวดอย่างสม่ำเสมอในระยะ 3 – 6 เดือนแรกเป็นเรื่องสำคัญ ช่วยลดการเกิดหรือช่วยทำให้แผลนั้นลดการขยายตัว และนูนเกินได้ ลองไปปฏิบัติกันดูเมื่อมีแผลนะคะ
ตอบข้อ 3 สาขาชลบุรี มีเลเซอร์ให้บริการ ลองปรึกษาคุณหมอที่สาขาชลบุรีดูนะคะ เพื่อที่คุณหมอจะแนะนำวิธีรักษาที่เหมาะสมและดีที่สุดให้ค่ะ โทร. 0 3828 8834 ค่ะ