ผลกระทบจากการรับประทานยาเป็นระยะเวลานาน
รักษาสิวกับที่นี่ตั้งแต่อายุ 17 ปี และก็รับประทานยารักษาสิว พอสิวหายดิฉันก็หยุดทานยา พอหยุดปรากฏว่าสิวกลับเห่อขึ้นมาใหม่ ก็ต้องกับไปทานยาอีก ดิฉันก็ทานแล้วหยุดมาประมาณ 2 ครั้ง ครั้งล่าสุดหยุดยาแล้วสิวเห่อเลยกลับไปทานติดต่อกันประมาณมาเกือบ 3 ปี เพราะไม่คิดจะหยุดทานแล้ว

แต่ได้ไปอ่านข้อมูลในนิตยสารหลายๆ เล่ม ที่ระบุว่ายารักษาสิวมีอันตรายต่อสุขภาพหากรับประทานติดต่อกันมากเกินไป ดิฉันจึงตัดสินใจหยุดอีกครั้งเพราะเห็นว่าทานยามานานมากแล้วและผิวหน้าก็ดีขึ้น

ตอนนี้อายุ 25 ปีแล้วคิดว่าสิวคงไม่ขึ้นแล้ว แต่ปรากฏว่าหน้าที่ดีอยู่ตอนนี้เต็มไปด้วยสิวเห่อขึ้นมาเต็มหน้า ดิฉันต้องทานยารักษาสิวไปตลอดชีวิตหรือไม่ แล้วยาเม็ดสีม่วงนั้นจะมีอันตรายจริงหรือไม่ แล้วมีวิธีไหนที่จะรักษาให้หายขาดโดยไม่ใช้ยาเพราะกลัวอันตราย รักษามาเกือบ 10 ยังไม่หายขาด กรุณาไขข้อข้องใจด้วยนะคะ ถ้าทานยาแล้วไม่มีอันตรายใดๆ ดิฉันก็ยอมทานตลอดชีวิตแล้วค่ะ

คำถามที่:Q2941| จากคุณaj_bbee| 10/06/2550 16:06 น.
ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดสิวที่ทำให้การรักษาไม่หายขาด และต้องกินยาต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ก็คือพันธุกรรม และความเครียด ซึ่งมีผลต่อการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติและการหลั่งฮอร์โมนเพศผิดปกติ มีผลให้ต่อมไขมันสร้างไขมันมากขึ้น การไหลเวียนเลือดและระบบประสาทอัตโนมัติเสียสมดุล จึงก่อให้เกิดสิว ตลอดเวลา แม้วัยล่วงเลยจากวัยรุ่นเข้าสู่วัยกลางคนแล้วก็ตาม

ยารับประทานสิวมักจะเริ่มต้นที่ยาปฎิชีวนะ ลดการอักเสบ ซึ่งควรทานต่อเนื่องมากกว่า 1 สัปดาห์ หรือจนกว่าสิวอักเสบจะดีขึ้น กรณีทานนานกว่า 1-2 เดือน แล้วอาการไม่ทุเลา จะใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วย เช่น กรดวิตามิน เอ (ซึ่งจะต้องควบคุมขนาดยาโดยแพทย์ เพื่อป้องกันผลข้างเคียง)

โดยทั่วไป กรดวิตามิน เอ ควรทานต่อเนื่องประมาณ 4-6 เดือน กรณีควบคุมสิวได้แล้วแพทย์จะพิจารณาหยุดยา และควบคุมด้วยการทายาละลายสิวตลอดไปค่ะ กรณีที่ควบคุมปัจจัยกระตุ้นที่ให้เกิดสิวดังกล่าวไม่ได้ สิวจะไม่หายขาด ก็คงต้องกลับไปทานยาใหม่เป็นรอบๆ ค่ะ ทั้งนี้ขอเน้นว่าควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพื่อลดอันตรายจากการใช้ยาค่ะ

ตอบโดย:พญ. ปุญชรัสมิ์ วุฒิทวีเศรษฐ์| วันที่ 18/06/2550

จาก: 0 คน
VIEWS
8559