ยาที่ช่วยลดและควบคุมเชื้อยีสต์
เรียน คุณหมอ ผมอายุ 37 ปี แต่เป็นสิวเยอะมากตั้งแต่วัยรุ่น เป็นคนที่ต่อมไขมันใหญ่ , หน้าและหนังศีรษะจะมันมากๆ ปัจจุบันรักษาที่คลีนิคโรคผิวหนังแห่งหนึ่งอยู่ครับ โดยใช้ทั้งยาทานและยาทา ผมมีข้อสงสัยดังนี้ครับ

1. ผมจะเป็นสิวที่รอบปากและคางมาก เป็นลักษณะสิวอักเสบเรื้อรัง ซึ่งที่จุดอื่นบนใบหน้าก็เป็นทั้งแบบตุ่มหนองและเป็นไต แต่ก็พอควบคุมได้ด้วยยาทาหลายๆ สูตรที่คุณหมอจ่ายให้สับเวียนกันไป และทาป้องกันทุกวัน แต่กรณีสิวที่คางและที่หนวดรอบปากนั้น ยาทาเอาไม่อยู่ครับ และผมก็เคยใช้ยาทานทั้งแก้อักเสบ + กรดวิตามิน A แล้ว พบว่าช่วงทานยาซักพักก็ดีขึ้น พอหยุดยาก็เริ่มเห่อขึ้นอีก (ทานตาม dose ที่คุณหมอกำหนด) พบผลข้างเขียงไม่ดีหลายๆ อย่าง เช่น ไขมันในเลือดสูง ตับไม่ค่อยดี และค่อนข้างกลัวเป็นอันตรายในอนาคตด้วย เลยพยายามขอหมอไม่ทานกลุ่มพวกนี้ ช่วงหลังคุณหมอบอกว่าสิวที่คางเป็นสิวจากเชื้อยีสต์เลยจ่ายยาฆ่าเชื้อยีสต์มาลองทาน ช่วงแรกก็ได้ผลดี ซักพักก็ดื้อยาอีก คือ ทานเป็นเดือน - 2 เดือนกว่าจะหายอักเสบ โดยคุณหมอแนะนำว่ารักษาเชื้อยีสต์ควรทานกรดวิตามิน A ร่วมด้วยจะได้ผลดีกว่า แต่ผมไม่อยากทานด้วยเหตุผลดังกล่าวก็เลยขอคุณหมอจ่ายยาเฉพาะยาฆ่าเชื้อยีสต์อย่างเดียว ทีนี้ผมไม่ทราบว่าตัวยาฆ่าเชื้อยีสต์นั้นมีผลข้างเคียงที่อันตรายหรือต้องระวังอะไรบ้างครับ โดยเฉพาะกับตับ/ไต ฯลฯ และทานได้นานแค่ไหน , มันจะดื้อยาเหมือนแก้อักเสบหรือเปล่าครับ (ผมแพ้ tetra และ amoxy ปัจจุบันทานเฉพาะ Erythro เท่านั้นครับ) เพราะถามคุณหมอ คุณหมอก็ไม่ยอมบอกครับ เลยยิ่งกลัวครับเพราะไม่รู้จะรักษาด้วยสูตรไหนแล้วครับ

2. ที่หนังศีรษะก็เป็นสิวไตๆ เยอะมากครับ ใช้ทั้งยาสระ/ยาทา ทุกสูตร (โดยคุณหมอแนะให้ใช้สลับกันไปเป็นช่วงๆ) แล้วก็ยังไม่หายเลยครับ แต่ที่คางเป็นมากกว่าจนทนที่ศีรษะได้ เพราะคนไม่ค่อยเห็น แต่ก็ลำบากมากครับ บางทีจะตัด/สระผมก็ไม่ได้เจ็บมากเลยครับ อยากทราบว่าถ้าใช้ยาทาตลอดไปมีทั้งที่มีตัวยาแก้อักเสบด้วยนานๆ จะมีอันตรายไหมครับ

รบกวนคุณหมอกรุณาให้ข้อมูลด้วยครับ เพราะกลุ้มใจมากตามรายละเอียดข้างต้นครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ

คำถามที่:Q2239| จากคุณanuphan| 20/12/2549 19:15 น.
1. จากประวัติที่เล่ามา คุณหมอที่รักษาก็ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการรักษาปัญหาสิวของคุณ asn ซึ่งคุณ asn มีข้อจำกัดในการรักษา คือ แพ้ยาหลายตัวซึ่งมักถูกใช้ในการรักษาสิว และมักจะได้ผลดี ดังนั้นคุณหมอเลยต้องเปลี่ยนไปใช้กลุ่มพวกกรด VIT A ซึ่งจะใช้ในกรณีมีอาการมาก หรือคนไข้แพ้พวกกลุ่มยาแก้อักเสบ
คราวนี้ปัญหาตอนที่หยุดยา ไม่แน่ใจว่าอาการหายดีหรือยัง เพราะปกติต้องค่อยๆ ลดขนาดลงจนอาการหายสนิทจึงค่อยหยุดกินยา แล้วทายาป้องกันไว้ แต่คนไข้ขอหยุดกินยาก่อน ก็อาจมีผลทำให้อาการกลับมาเป็นได้ใหม่
ส่วนตอนหลังอาการบ่งชี้ไปว่าน่าจะมีปัญหาจากเชื้อยีสต์ เวลาคุณหมอให้ยาก็จะดูตามอาการ ก็ให้คุณ asn ติดตามนัดให้ต่อเนื่อง คุณหมอก็จะคอยดูขนาด และเวลาของยาที่ให้อย่างเหมาะสม
ตับมีหน้าที่กำจัดของเสียคล้ายๆ กับโรงกำจัดขยะทั้งหลาย ก่อนถูกขับทิ้งทางไต ดังนั้นเวลากินยาหลังจากใช้งานเสร็จเรียบร้อยก็ถูกกำจัดที่ตับ และขับออกทางไต ซึ่งโดยส่วนใหญ่คุณหมอก็จะวางแผนให้ยาตามอาการของโรคให้แก่คนไข้ และคำนวณขนาดที่ใช้ ซึ่งอาจไม่เท่ากันในแต่ละคนแต่ละโรค ช่วงเวลาที่ให้ก็อาจแตกต่างกันตามอาการ
ดังนั้น จึงอยากให้ปรึกษากับคุณหมอที่รักษามาอย่างต่อเนื่อง คุณหมอคงจะได้อธิบายของโรคและแผนการรักษาให้คุณ asn ครับ

2. การทายาส่วนใหญ่จะค่อนข้างถูกดูดซึมน้อยกว่าการกินยา ดังนั้นโอกาสของผลข้างเคียงก็จะน้อยกว่า แต่โดยส่วนใหญ่ถ้าหายก็สามารถหยุดยาใช้ได้ครับ

ตอบโดย:นพ. ไพบูลย์ ประภาศิริกุล| วันที่ 27/12/2549

จาก: 1 คน
VIEWS
13505