การเกิดสิวที่ใบหน้าและลำตัวมีสาเหตุอย่างเดียวกัน คือ การแปรปรวนของฮอร์โมนเพศในร่างกายเราเอง แต่บางคนเป็นสิวที่หน้า บางคนเป็นสิวที่ตัว บางคนเป็นสิวอุดตัน บางคนเป็นสิวอักเสบ อันนี้ขึ้นตามพันธุกรรมค่ะ ดังนั้นคนแต่ละคนจะมีสิวมากน้อยไม่เท่ากัน ส่วนปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น สบู่บางชนิด เหงื่อออกมาก ความอับชื้น จะทำให้สิวเป็นมากขึ้นได้ค่ะ แต่ไม่ว่าจะเป็นสิวแบบไหนก็รักษาได้ทั้งนั้น แต่สิวที่หลังมักจะหายช้ากว่าสิวบนใบหน้าค่ะ
การรักษาสิวที่หลังคงต้องเริ่มจากการหลีกเลี่ยงการระคายเคืองที่ผิวหนัง คือ ไม่ควรขัด ถู เพราะสิวไม่ได้เกิดจากความสกปรกน่ะค่ะ ส่วนการรักษามีได้ตั้งแต่การทายาเพื่อละลายหัวสิว การรับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อลดการอักเสบของสิว แต่การจะเลือกใช้วิธีใดนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคด้วยค่ะ
สิวที่หลังมักขึ้นมาจากเหงื่อออกและแห้งไปกับตัว ควรอาบน้ำทันทีหลังเหงื่อออกแล้วเช็ดตัวให้แห้ง เปลี่ยนเสื้อที่แห้งสะอาด จะช่วยได้ดี แต่ถ้าทำไม่ได้ก็สามารถใช้ยากินที่เป็นกลุ่มกรดวิตามิน เอ สิวจะแห้งลงไปได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ (ควรรับประทานยานี้ภายใต้การดูแลของแพทย์ ไม่ควรซื้อยาทานเอง) และมียาลักษณะคล้ายแป้งน้ำสำหรับทาเพื่อรักษาสิวที่หลัง ยาช่วยให้สิวหลุดง่าย แต่ต้องใช้เวลา ใช้ยาต่อเนื่อง 4 - 6 สัปดาห์ ซึ่งใช้ต่อเนื่องได้ ไม่มีผลข้างเคียงค่ะ
ส่วนรอยดำจากสิวที่หลังสามารถรักษาให้รอยดำจางลงได้ค่ะ ซึ่งโดยปกติแล้วรอยดำจากสิวจะสามารถจางหายไปได้เอง แต่อาจจะต้องใช้เวลานานหลายเดือนหรือเป็นปี รอยดำจากสิวนั้นไม่ว่าบริเวณไหนก็สามารถรักษาให้หายได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับวิธีการที่ใช้ในการลดรอยดำด้วย ได้แก่
1. การทายา
2. การทำทรีทเมนท์เสริมการรักษา
3. การทำหัตถการ (เลเซอร์ต่างๆ หรือ IPL)
ต้องทำกี่ครั้งจึงจะหายและค่าใช้จ่ายเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับเทคนิควิธีการรักษา พื้นที่ของรอยดำที่หลัง รวมไปถึงการตอบสนองของคนไข้แต่ละรายด้วยค่ะ
แนะนำให้ลองมาเข้าพบแพทย์เพื่อปรึกษาวิธีการรักษาและค่าใช้จ่ายโดยละเอียดอีกครั้งที่ราชเทวีคลินิกสาขาที่คุณสะดวกได้เลยค่ะ เพื่อที่คุณหมอจะได้ตรวจวินิจฉัยจากสภาพผิวและปัญหาผิวจริง คุณหมอจึงจะประเมินและวางแผนการรักษาที่ถูกต้องจำเป็นและเหมาะสมกับคุณให้ได้น่ะค่ะ
ตอบโดย:ราชเทวีคลินิก|
วันที่ 04/04/2560