สิวเสี้ยนตรงจมูก
มีสิ้วเสี้ยนบริเวณจมูกเยอะมากเลยค่ะ ลอกออกก็ยังขึ้นตลอดเพราะรูขุมขนกว้าง อยากทราบข้อมูลการรักษาสิวเสี้ยน + รูขุมขนกว้างค่ะ ค่าบริการประมาณเท่าไหร่ (เคยเสริมจมูกมาปีหนึ่งแล้วสามารถทำพวกเลเซอร์ได้มั้ยคะ)
คำถามที่:Q18843| จากคุณwtfff| 11/07/2559 00:00 น.
ส่วนวิธีการดูแลรักษา สิวเสี้ยน ได้แก่
- หลีกเลี่ยงการลูบคลำบริเวณที่เป็นสิวเสี้ยน
- ลอกสิวเสี้ยนออก
- ทายา
- เลเซอร์

การทายาผิวดีขึ้นแน่นอนค่ะ และอย่าลืมวิธีที่ง่ายที่สุด นั่นคือไม่เอามือไปจับบริเวณที่เป็นสิวเสี้ยน ค่ะ... เลเซอร์ช่วยทำให้หายเร็วขึ้น แต่ไม่หายขาด...สำหรับความถี่ของการทำ LASER ระยะแรกๆ เรามักจะทำถี่หรือไม่ทิ้งช่วงนาน สำหรับการที่จะทำทุกสัปดาห์สามารถทำได้ขึ้นอยู่กับสภาพของผิว ซึ่งคงต้องตรวจดูก่อนจึงจะตอบได้ค่ะ ปกติการรักษาสิวเสี้ยนสามารถใช้การรักษาแบบผสมผสานด้วยยาทาและการใช้ LASER ส่วนจะเป็นเลเซอร์ตัวใดนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ที่ทำการรักษาอยู่ค่ะ   (แนะนำให้แจ้งกับแพทย์ที่ดูแลคุณอยู่ให้ทราบด้วยค่ะว่าได้เคยเสริมจมูกมา 1 ปีแล้ว)

ราชเทวีคลินิกมีเทคนิควิธีการรักษาสิวเสี้ยนแบบใหม่ คือ Tricho Peel หรือ TCP เป็นวิธีการลอกสิวเสี้ยนแบบใหม่ที่ได้ผลดี ด้วยประสิทธิภาพของ Tricho Solution ที่ช่วยละลายชั้นขี้ไคล ให้การอุดตันสิวเสี้ยนเกิดการหลวมตัว ทำให้ลอกออกได้ง่ายขึ้นมากขึ้น ผสานกับ Tricho Patch แผ่นลอกสิวเสี้ยนแบบใหม่ที่มีความยืดหยุ่น เนื้อเหนียวนุ่ม ดึงออกได้ง่าย จึงเพิ่มประสิทธิภาพการลอกสิวเสี้ยนให้ได้ผลดีมากยิ่งขึ้น อัตราค่าบริการลอกสิวเสี้ยน ด้วย Tricho Peel ครั้งละ 150.- ค่ะ

วิธีนี้ช่วยให้สิวเสี้ยนลอกออกได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้เป็นวิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวเสี้ยน การจะไม่ให้สิวเสี้ยนเกิดขึ้นอีกเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะฮอร์โมนในร่างกายเป็นตัวการที่กระตุ้นต่อมไขมันทำให้มีการผลิตไขมันออก มามากขึ้น ส่งเสริมให้เกิดการอุดตันตามรูขุมขนได้ง่ายขึ้น

นอกจากนี้การรบกวนผิวหน้ามากๆ เช่น การเช็ดถูหน้าแรงๆ การนวดหรือขัดหน้า จะเป็นการรบกวนรูขุมขนหรือต่อมไขมัน ทำให้รากขนแตกจึงคุดคู้อยู่ข้างในรูขุมขนได้มากขึ้นกลายเป็นหนามแหลมๆที่ใบหน้าได้ ฉะนั้นการใช้ยาและลอกสิวเสี้ยนด้วย Tricho Peel จึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องสิวเสี้ยนค่ะ

อัตราค่าบริการรักษาสิวเสี้ยนด้วยเลเซอร์ เริ่มต้นที่ครั้งละ 1,000.- ค่ะ 

ส่วนปัญหาเรื่องรูขุมขุนกว้าง หรือการกระชับรูขุมขน นั้น การจะตอบคำถามนี้ได้คงต้องมาทำความเข้าใจกับธรรมชาติของผิวกันก่อนนะคะ

รูขุมขนกว้างเป็นลักษณะของผิวหนังที่พบได้บ่อย แต่ไม่ถือว่าเป็นโรคทางผิวหนังหรือก่อให้เกิดอันตราย เพียงแต่อาจจะสร้างปัญหาทางความสวยงามได้

ผิวหนังของคนเราจะมีท่อเปิดออกสู่ผิวหนังอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ท่อเปิดต่อมเหงื่อ และท่อเปิดรูขุมขน ซึ่งท่อเปิดชนิดหลังนี้จะเป็นตำแหน่งที่ขนงอกขึ้นมาและเป็นท่อที่ระบายไขมัน ที่สร้างจากต่อม Sebaceous Gland ด้วยท่อรูขุมขนจะมีขนาดโตมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับ..
      1. อายุ เมื่ออายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป รูขุมขนจะมีโอกาสโตมากขึ้นตามธรรมชาติของผิว
      2. ลักษณะผิว เช่น กรณีที่ต่อม Sebaceous Gland ทำงานผลิตไขมันมาก โอกาสที่รูขุมขนกว้างก็จะมีมากขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ที่ต่อม Sebaceous Gland ทำงานน้อยกว่า

ในความเป็นจริงแล้ว.. ลักษณะผิวแต่ละแบบได้ถูกกำหนดมาแล้วจากพันธุกรรมของแต่ละคน ในปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีใดที่จะสามารถลดขนาดรูขุมขนได้อย่างถาวร แต่ก็มีหลายวิธีที่ช่วยบรรเทาปัญหานี้ เช่น
      (1) ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ช่วยเพิ่มระดับ Collagen และ Elastin ในผิว เช่น กลุ่มวิตามิน C, Retinol
      (2) ลดปริมาณน้ำมันบนผิวและผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งเป็นตัวที่จะอุดตันในรู ขุมขนและทำให้รูขุมขนดูกว้างขึ้น ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มี Alpha Hydroxyl Acid (AHA) เป็นส่วนประกอบ (การทำ AHA treatment จึงเป็นวิธีหนึ่งในการแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้างได้)
      (3) การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ผสม Salicylic Acid ซึ่งทำงานคล้ายในกลุ่ม AHA
      (4) การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Oil Control เพื่อควบคุมการผลิตน้ำมันส่วนเกิน
      (5) การใช้เครื่องมือที่กระตุ้น Collagen และ Elastin ใต้ผิว เช่น Nd:YAG LASER, IPL เป็นต้น Collagen และ Elastin ที่ถูกกระตุ้นให้สร้างเพิ่มขึ้นจะช่วยให้ผิวกระชับขึ้น และส่งผลให้รูขุมขนดูกระชับขึ้นด้วย

การทำ Treatment อย่างสม่ำเสมอเป็นการช่วยคงสภาพผิวที่ดีหลังการทำ Treatment ไว้ แต่การที่รูขุมขนจะกระชับได้มากน้อยหรือยาวนานแค่ไหนนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก เช่น อายุ อากาศ หรือสภาพแวดล้อม การเผชิญกับแสงแดด เป็นต้น

อย่างไรก็ตามแต่ละวิธีก็อาจจะมีข้อบ่งชี้และข้อควรระวังในการใช้ที่แตกต่างกันไปตามสภาพผิวของแต่ละคน ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์ที่ดูแลคุณอยู่โดยตรงเพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับคุณค่ะ

แนะนำให้ปรึกษารายละเอียดเพิ่มเติมกับคุณหมอโดยตรงดูนะคะ เพื่อที่คุณหมอจะได้ตรวจวินิจฉัยจากสภาพปัญหาผิวจริง คุณหมอจึงจะประเมินและวางแผนการรักษาที่ถูกต้องจำเป็นและเหมาะสมกับคุณให้ต่อไปค่ะ
ตอบโดย:ราชเทวีคลินิก| วันที่ 11/07/2559

จาก: 0 คน
VIEWS
3625