วิธีการรักษาสิวมีตั้งแต่การทายา รับประทานยา ทำทรีทเมนท์เสริมการรักษา และทำห้ตถการ (เลเซอร์) ในคนไข้บางรายอาจจะต้องใช้หลายๆวิธีผสมผสานกันตามความจำเป็นและเหมาะสม การจะใช้เทคนิควิธีการรักษาด้วยวิธีใดขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ที่ทำการรักษาอยู่ ค่าใช้จ่ายในการรักษาหากได้รับเฉพาะยาทาและยารับประทานไปค่าใช้จ่ายประมาณ 500 - 1,000 บาทต่อสัปดาห์ครับ ส่วนค่าใช้จ่ายในการรักษาสิวอุดตันด้วย CO2 LASER จุดละ 300.- หากสิวอุดตันมีจำนวนมากๆสามารถคิดในราคาเหมาได้ เช่น 10 จุด 1,000.- ครับ
การรักษาสิวอุดตันด้วย CO2 LASER เป็นวิธีที่ช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น และ ลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นจากสิว นอกจากนี้เลเซอร์ยังสามารถฆ่าเชื้อโรคและทำลายต่อมไขมันบางส่วน ซึ่งจะมีส่วนให้สิวยุบเร็วขึ้นและป้องกันการเกิดสิวใหม่ ครับ
การใช้เลเซอร์ CO2 เจาะสิว วิธีการ คือ เราจะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ (CO2 LASER) ยิงที่หัวสิวเพื่อเปิดหัวสิว ก่อนการยิงเลเซอร์จะทายาชาบนหัวสิวประมาณ 45 นาที เพื่อให้รู้สึกสบายเวลาทำ หรือในบางครั้งใช้แค่ประคบเย็นแล้วยิงได้เลย ลำแสงจากเลเซอร์จะทำให้ผิวหนังที่หุ้มหัวสิวอยู่เกิดเป็นรูเล็กๆ เพื่อใช้เป็นทางระบาย จากนั้นกดเอาก้อนไขมันที่อยู่ข้างใต้ออกมาโดยใช้อุปกรณ์กดสิว การทำเลเซอร์สิวอุดตันมักจะมีสะเก็ดอยู่ประมาณ 3 - 7 วัน ทั้งนี้การที่สะเก็ดหลุดเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ในสภาพผิวมันสะเก็ดจะหลุดเร็วกว่าสภาพผิวแห้ง หรือการทาครีม ล้างหน้าอย่างอ่อนโยนถูกวิธี เป็นต้น การที่สะเก็ดหลุดเร็วก่อนเวลาอันควร อาจทำให้ผิวบริเวณนั้นมีรอยแดงดำเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะถ้าไปโดนแดด ดังนั้นหลังทำเลเซอร์ไปจนถึงช่วงสะเก็ดหลุดใหม่ๆ ควรหลีกเลี่ยงการโดนแดดจัดๆ และควรทาครีมกันแดดเป็นประจำด้วยครับ
หลังกดสิวอาจมีรอยแดงหรือการระคายเคืองได้ กรณีเจาะสิวหลายๆ จุดอาจต้องงดยาทาสิวบางตัว ทานยาแก้อักเสบแทน 1 สัปดาห์ แต่ล้างหน้าได้ตามปกติครับ
ค่าใช้จ่ายในการรักษาสิวอุดตันด้วย CO2 LASER จุดละ 300.- หากสิวอุดตันมีจำนวนมากๆสามารถคิดในราคาเหมาได้ เช่น 10 จุด 1,000.- ครับ
ส่วนปัญหาเรื่องรูขุมขุนกว้างหรือการกระชับรูขุมขนนั้น การจะตอบคำถามนี้ได้ คงต้องมาทำความเข้าใจกับธรรมชาติของผิวกันก่อนนะครับ
รูขุมขนกว้าง เป็นลักษณะของผิวหนังที่พบได้บ่อย แต่ไม่ถือว่าเป็นโรคทางผิวหนังหรือก่อให้เกิดอันตราย เพียงแต่อาจจะสร้างปัญหาทางความสวยงามได้
ผิวหนังของคนเราจะมีท่อเปิดออกสู่ผิวหนังอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ท่อเปิดต่อมเหงื่อ และ ท่อเปิดรูขุมขน ซึ่งท่อเปิดชนิดหลังนี้จะเป็นตำแหน่งที่ขนงอกขึ้นมาและเป็นท่อที่ระบายไขมันที่สร้างจากต่อม sebaceous gland ด้วย ท่อรูขุมขนจะมีขนาดโตมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับ
(1) อายุ เมื่ออายุมากกว่า 20 ปีขึ้นไป รูขุมขนจะมีโอกาสโตมากขึ้นตามธรรมชาติของผิว
(2) ลักษณะผิว เช่น กรณีที่ต่อม sebaceous gland ทำงานผลิตไขมันมาก โอกาสที่รูขุมขนกว้างก็จะมีมากขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ที่ต่อม sebaceous gland ทำงานน้อยกว่า
ในความเป็นจริงแล้ว ลักษณะผิวแต่ละแบบได้ถูกกำหนดมาแล้วจากพันธุกรรมของแต่ละคน ในปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีใดที่จะสามารถลดขนาดรูขุมขนได้อย่างถาวร แต่ก็มีหลายวิธีที่ช่วยบรรเทาปัญหานี้ เช่น
(1) ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ช่วยเพิ่มระดับ collagen และ elastin ในผิว เช่น กลุ่มวิตามิน C, retinol
(2) ลดปริมาณน้ำมันบนผิวและผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งเป็นตัวที่จะอุดตันในรูขุมขนและทำให้รูขุมขนดูกว้างขึ้น ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มี alpha hydroxyl acid ( AHA ) เป็นส่วนประกอบ ( การทำ AHA treatment จึงเป็นวิธีหนึ่งในการแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้างได้ )
(3) การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ผสม salicylic acid ซึ่งทำงานคล้ายในกลุ่ม AHA
(4) การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม oil control เพื่อควบคุมการผลิตน้ำมันส่วนเกิน
(5) การใช้เครื่องมือที่กระตุ้น collagen และ elastin ใต้ผิว เช่น Nd:YAG LASER , IPL เป็นต้น collagen และ elastin ที่ถูกกระตุ้นให้สร้างเพิ่มขึ้นจะช่วยให้ผิวกระชับขึ้นและส่งผลให้รูขุมขนดูกระชับขึ้นด้วย
การทำ Treatment อย่างสม่ำเสมอ เป็นการช่วยคงสภาพผิวที่ดีหลังการทำ treatment ไว้ แต่การที่รูขุมขนจะกระชับได้มากน้อยหรือยาวนานแค่ไหนนั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก เช่น อายุ, อากาศ หรือสภาพแวดล้อม, การเผชิญกับแสงแดด เป็นต้น
อย่างไรก็ตามแต่ละวิธีก็อาจจะมีข้อบ่งชี้และข้อควรระวังในการใช้ที่แตกต่างกันไปตามสภาพผิวของแต่ละคน ดังนั้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับคุณ ครับ
ตอบโดย:ราชเทวีคลินิก|
วันที่ 15/12/2556