การทำไอออนโต (Iontophoresis) คนไข้มักจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นชื่อยานำมารักษาให้หน้าใส แต่จริงๆ แล้วเป็นเครื่องมือที่จะเอามาเพื่อใช้ผลักยาเข้าสู่ผิวด้วยระบบประจุไฟฟ้า เพื่อหวังว่ายาจะซึมเข้าสู่ผิวหนังลึกๆ จะได้ออกฤทธิ์ได้ดี แต่จะใช้รักษาอะไรก็ขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่จะเอามาทา ซึ่งก่อนหน้านี้ก็มีใช้กับพวกยาชา ยาแก้ปวด ยาปฏิชีวนะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมยา
แต่ระยะหลังๆ นี้แพทย์ทางด้านผิวหนังก็เริ่มนำสารที่ใช้รักษาพวกรอยแผล รอยคล้ำดำ เช่น พวกกรดวิตามินเอ, ซี, กรดทรานซามิก มาใช้ร่วมกับเจ้าเครื่องมือตัวนี้ ด้วยความหวังว่าจะทำให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นค่ะ
ดังนั้นเครื่องไอออนโตไม่ได้ทำอะไรกับผิว แต่เป็นยาต่างหากค่ะที่เป็นตัวทำปฏิกิริยา
ส่วนคำถามที่คุณหลิวถามมา มันก็ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ปัจจัย คือ
1. ความเข้มข้นของยา
2. สภาพผิวของเราเอง ถ้าใช้ความเข้มข้นยามากหรือปริมาณมากก็อาจระคายได้ค่ะ (ก็เหมือนกับคุณหกล้ม แล้วไปถูสบู่มันก็แสบ เพราะสภาพผิวคุณมันมีรอยถลอก ระคาย แต่ถ้าผิวปกติก็ไม่แสบ)
ข้อห้ามในการทำ
1. ผิวหน้าอักเสบ ไม่ว่าจะเป็นกรณีมีสิวอักเสบ ผื่น หรือแผลบริเวณผิวหน้า เหมือนกับที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นถ้ายังมีสิวอยู่ควรจะรักษาสิวให้หายก่อน ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาจะจัดการแต่รอยแผล อาจก่อให้เกิดการระคายมากขึ้นได้ค่ะ
2. ห้ามทำบริเวณขมับหรือรอบตา เพราะอาจทำให้เกิดการชัก หรือรบกวนการมองเห็นได้
3. ห้ามทำในกรณีที่ใส่เครื่องควบคุมการทำงานของหัวใจ (Pacemaker) หรือใส่เหล็กเพื่อดัดกระดูก เพราะอาจทำให้เกิดการนำกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติบริเวณโลหะดังกล่าวค่ะ
สำหรับประเด็นเรื่องที่จะทำให้ประสิทธิภาพของสมองและระบบประสาทลดลงหรือไม่ ก็ในข้อห้ามเราจะไม่ทำในบริเวณขมับ หรือรอบตา ส่วนคนที่เป็นลมชัก หมอว่าก็หลีกเลี่ยงไปเลยก็ได้ค่ะ ไม่คุ้มกัน เดี๋ยวชักขึ้นมาเซลล์สมองจะตายไปเยอะ
ในเรื่องของความฉลาด หมอคิดว่าคงไม่เกี่ยวกับเจ้าเครื่องนี้หรอกค่ะ ความฉลาดมันเป็นพัฒนาการ การสั่งสมประสบการณ์ที่ดี การศึกษา ความรู้สึกนึกคิด จริยธรรม คุณธรรม ซึ่งสมัยใหม่ที่จะต้องประกอบทั้ง 3 ส่วน IQ, EQ, AQ น่ะค่ะ แต่ถ้ากังวลมากว่าจะทำให้ฉลาดน้อยลง มันจะมีผลรบกวนจิตใจมาก ก็หลีกเลี่ยงไปเลยค่ะ จะได้ไม่ต้องกังวลค่ะ
ตอบโดย:พญ. พรรณเพ็ญ ประภาศิริกุล|
วันที่ 22/03/2545