ขออนุญาตนำความรู้ดีเกี่ยวกับครีมกันแดดมาให้อ่าน ดังนี้ค่ะ
รายงานการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารโรคผิวหนัง ของสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ฉบับเดือนเมษายน – มิถุนายน (2553; 26 : 105 – 115) เรื่อง การประเมินความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับยากันแดดของผู้ใช้ยากันแดดในเขตกรุงเทพมหานคร โดย พญ.วรารัตน์ สิริกุตตา และพญ. สุมาลี ธนันกิติวงศ์ จาก โรงพยาบาลปากเกร็ด
จากการศึกษาพบว่ากลุ่มตัวอย่างร้อย 85.67 ทราบถึงประโยชน์ของยากันแดด แต่มีเพียงร้อย 46 ทราบถึงปริมาณของยากันแดดที่เหมาะสม ต่อการใช้ในแต่ละครั้ง ร้อยละ 63.33 เข้าใจความหมายของค่า SPF และค่า PA และร้อยละ 68.67 เข้าใจถึงวิธีการทาและการทาซ้ำ ผู้วิจัยสรุปว่าผู้ใช้ยากันแดดยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการใช้ยากันแดด
ค่า SPF (Sunburn Protection Factor) เป็นค่าตัวเลขบอกประสิทธิภาพ ในการป้องกันผิวไหม้แดง (Erythema) ที่เกิดจากรังสียูวีบี ( Ultraviolet B )
ค่า PA (Protection Grade of UVA) เป็นค่าบอกประสิทธิภาพในการป้องกันผิวคล้ำที่เกิดจากรังสียูวีเอ ( Ultraviolet A )โดยมีสัญญลักษณ์ PA+ , PA ++ และ PA+++
การทาครีมกันแดดให้มีประสิทธิภาพ
1.ทาครีมกันแดดปริมาณ 2 มิลลิกรัม ต่อ 1 ตร. เซนติเมตรหรือประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ สำหรับหน้า และคอ หรือ 1 ข้อนิ้วมือสำหรับใบหน้า
2.ทาครีมกันแดดให้ ทั่วถึงและสม่ำเสมอก่อนออกสู่แสงแดด 15-30 นาที
3.หากมีกิจกรรมกลางแสงแดดเป็นเวลานาน ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง
4.กรณีเล่นกีฬาทางน้ำ หรือเหงื่อออกมาก ควรเลือกครีมกันแดดชนิดทนน้ำ (Water resistant) และทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง
การเลือกครีมกันแดด
- กรณีออกแดดไม่มาก เลือก SPF15 PA +/++
- กิจกรรมกลางแดดปานกลาง เลือก SPF15 – 30 PA ++/+++
- กิจกรรมกลางแดดยาวนาน เลือก SPF30 – 50 PA +++
.....................
จากบทความวิจัยดังกล่าว จึงบอกได้ว่า ยังไม่มีครีมกันแดดที่สามารถปกป้องผิวได้ยาวนานถึง 12 ชั่วโมงค่ะ
นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า ประสิทธิภาพของครีมกันแดดลดลงระหว่างวัน ไม่ว่าจะซับความมันบนใบหน้าหรือไม่ก็ตาม การทาครีมกันแดดซ้ำอีกครั้ง ขึ้นอยู่กับว่าจะต้องอยู่ท่ามกลางแสงแดดมากน้อยเพียงใดค่ะ