แสงแดดทำร้ายผิวของเราได้ทุกฤดูกาลตลอดทั้งปี และรังสี UV ในแสงแดดก็ยังทำร้ายผิวมากกว่าที่คุณคิด ครีมกันแดดจึงเหมือนกับปัจจัยที่ 5 ที่จำเป็นต้องใช้ทุกวันในชีวิตประจำวันไปแล้ว อย่าลืมทาเด็ดขาดนะคะ 

ช่วงนี้ฝนตกหลายคนอาจคิดว่าไม่ค่อยมีแดด ไม่ทาครีมกันแดดก็ไม่เป็นไร แต่จริงๆแล้วในแสงจากดวงอาทิตย์ที่สาดส่องมาถึงตัวเรานั้น มีรังสีที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่มากมาย หนึ่งในนั้นคือเจ้ารังสีอัลตร้าไวโอเลต หรือรังสี UV ซึ่งจะแบ่งแยกตามความยาวคลื่นเป็นรังสี UV-A และ UV-B ที่จะว่าไปก็มีประโยชน์กับร่างกายในเรื่องของการช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิวเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด หรือกระตุ้นการสร้างวิตามินดี หากแต่ปริมาณรังสี UV ในบ้านเรานั้นมันมีมากเกินพอดี จึงกลับกลายเป็นนำมาซึ่งผลร้ายมากมายต่อผิวหนังของเรา
 

ผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด

• ผิวคล้ำเสีย อักเสบ ไหม้ ลอก
ผิวที่ต้องตากแดดเป็นระยะเวลานานๆแล้วปกป้องผิวไม่ดีพอ เช่นเวลาที่คุณไปเที่ยวทะเล ว่ายน้ำ หรือเล่นกีฬากลางแจ้ง ผิวจะถูกทำร้ายจากรังสี UV-B รังสีที่มีความยาวคลื่นสั้น แต่สามารถเผาไหม้และสร้างอนุมูลอิสระที่ชั้นหนังกำพร้าได้มากกว่ารังสีชนิดอื่นใดในแสงแดด โดยเฉพาะช่วงเวลาเที่ยง ปริมาณรังสีจะมีความเข้มข้นสูงมาก ทำให้เกิดอาการผิวไหม้แดด และอันตรายร้ายแรงกับผิวหนังได้
 
• ริ้วรอย ความหย่อนคล้อย จุดด่างดำ
ริ้วรอยเหี่ยวย่น ความหย่อนคล้อย และจุดด่างดำ ทำให้ผิวดูแก่ก่อนวัย เกิดจากการที่สูญเสียคอลลาเจน และอีลาสติน ตัวการหลักคือรังสี UV-A ในแสงแดดที่มีอนุภาพทะลุทะลวงได้แม้กระทั่งกระจก นับประสาอะไรกับผิวหนังซึ่งรังสี UV-A สามารถทะลุเข้าไปทำลายคอลลาเจน และ อีลาสตินกันถึงผิวหนังชั้นลึก หรือชั้นหนังแท้กันเลยทีเดียว

•  มะเร็งผิวหนัง
อันตรายที่ร้ายแรงอย่างที่สุดของแสงแดดที่กระทำต่อผิวก็คือโรคมะเร็งผิวหนัง ซึ่งมะเร็งผิวหนังที่มีสาเหตุมาจากผิวโดนแดดเป็นเวลานาน ทำให้ผิวชั้นตื้น และลึกถูกทำลาย ดีเอ็นเอมีความเสียหายอย่างต่อเนื่อง จนผิวหนังสูญเสียกลไกการซ่อมแซม ซึ่งมีทั้งชนิดที่เกิดกับเนื้อเยื่อบุผิว หรือ Basal cell carcinoma (BCC) เป็นแบบไม่แพร่กระจาย ลุกลามช้า และแบบที่เกิดกับเซลล์สร้างเม็ดสี หรือ Malignant melanoma ซึ่งมีความอันตรายมากกว่า และสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆได้ 
 

อย่าลืมผู้ช่วยสำคัญ "ครีมกันแดด"

เมื่อทราบถึงภัยร้ายแรงของแสงแดดแล้ว เราก็ควรป้องกันให้ดีที่สุด ครีมกันแดดในปัจจุบันนี้มีมากมายในท้องตลาดค่ะ แต่เราจะเลือกแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมต่างๆ เช่น

เนื้อสัมผัส
การเลือกเนื้อสัมผัสนอกเหนือจากความชื่นชอบส่วนตัวแล้ว ต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆอีก เช่น เป็นคนเหงื่อออกง่ายมาก แต่ชอบครีมกันแดดเนื้อเจล ก็อาจจะไม่เหมาะนัก เพราะอาจจะทำให้ครีมกันแดดหลุดระหว่างวัน ไม่สามารถปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือถ้าต้องการใช้ในบริเวณกว้าง เช่น แผ่นหลัง แขน ขา ลำตัว อาจเลือกแบบสเปรย์ แล้วใช้มือลูบเนื้อผลิตภัณฑ์ให้เคลือบผิวให้ทั่ว

รูปแบบการปกป้องผิว
สารกันแดดที่เป็นส่วนผสมในครีมกันแดดนั้น มีกลไกในการปกป้องผิวที่แตกต่างกัน ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มีส่วนผสมของสารกันแดดที่ปกป้องผิวโดยการดูดซับรังสีไว้ (Chemical Sunscreen) ทำให้รังสียูวีไม่สามารถทะลุเข้าไปทำอันตรายผิวหนังได้ ซึ่งครีมกันแดดชนิดนี้มีความโดดเด่นในเรื่องของการป้องป้องผิวได้ดี เนื้อครีมกลืนไปกับผิว แต่ข้อเสียที่พบในบางคนคืออาจจะแพ้ส่วนผสมของสารกันแดดตัวใดตัวหนึ่งเพราะสามารถซึมผ่านชั้นผิวหนังได้

สารกันแดดอีกประเภท เป็นแบบสะท้อนรังสี (Physical Sunscreen) กลไกการทำงานคือจะสะท้อนรังสียูวีออกไป ทำหน้าที่เหมือนเป็นเกราะคอยปกป้องผิวไว้ อนุภาคของสารกันแดดชนิดนี้จะมีขนาดใหญ่ ทำให้เนื้อสัมผัสจะค่อนข้างหนา ขาววอก เหนอะหนะ และอาจทำให้ผิวแห้ง แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาสูตร Physical Sunscreen ที่ก้าวล้ำไปมาก ทำให้ลดความขาว และความเหนียวเหนอะหนะได้ดีมากยิ่งขึ้น

SPF เท่าไหร่ดี?
จริงๆแล้วตัวเลขของค่า SPF เป็นตัวเลขที่บอกเพียงค่าการปกป้องผิวจากรังสี UV-B เท่านั้น และจากการศึกษาวิจัยก็พบว่า ค่า SPF30 สามารถสะท้อนหรือดูดซับรังสี UV-B ได้ 96.7% และ SPF50 ได้ 98% ซึ่งมีความแตกต่างกันประมาณ 1% เท่านั้น ค่า SPF ที่แนะนำจึงอยู่ในช่วย 30-50 ก็เพียงพอค่ะ

ส่วนอีกจุดหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้ก็คือค่า PA ที่ใช้ดูค่าการปกป้องรังสี UV-A ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการจำแนกแยกแยะอย่างละเอียดเท่าไหร่นัก ค่าปกป้องสูงสุดตอนนี้ที่มีในท้องตลาดคือ PA++++ คือเหมาะกับสาวไทยที่สุดค่ะ 

แสงแดดที่เราต้องเจออยู่ทุกวัน แต่ถ้าเราไม่ป้องกันอาจจะทำให้เกิดปัญหาลุกลามบานปลายได้ค่ะ ทางที่ดีหากคุณเริ่มรู้สึกว่าผิวมีอาการผิดปรกติ อักเสบ แดง หรือ เริ่มมีริ้วรอย จุดด่างดำ ก่อนวัยอันควร ก็ควรรีบมาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาสาเหตุการเกิด และรับมือกับปัญหาอย่างตรงจุดค่ะ