ฝ้า Melasma
วันที่ 22 ธ.ค. 2553 | โดย Redlab User


ฝ้า มีลักษณะเป็นรอยน้ำตาลดำที่เกิดบนใบหน้า มักพบในตำแหน่งที่สัมผัสกับแสงแดดได้ง่าย อย่างเช่น บริเวณหน้าผาก แก้ม ปลายจมูก เหนือริมฝีปาก เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีที่เรียกว่า เมลาโนไซท์ (Melanocytes) ในบริเวณนั้นสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ออกมามากกว่าปกติ โดยทั่วไปพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย โดยมักพบในวัยกลางคนที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป
  1. แสงแดด เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด เนื่องจากรังสีอุลตร้าไวโอเลตในแสงแดด เป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดในช่วงเวลา 9.00-17.00 น. ซึ่งจัดว่าเป็นช่วงเวลาที่มีรังสีอุลตร้าไวโอเลตในปริมาณสูง
  2. ฮอร์โมน ซึ่งอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนภายในร่างกายเอง เช่น วัยหมดประจำเดือน การตั้งครรภ์ซึ่งจะได้รับฮอร์โมนจากรกมากขึ้น หรือฮอร์โมนจากภายนอกที่เราได้รับ เช่น การรับประทานยาคุมกำเนิด การใช้เครื่องสำอางที่มีฮอร์โมนเป็นส่วนผสม หรือแม้แต่น้ำหอมที่มีอยู่ในเครื่องสำอางก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดฝ้าได้เช่นเดียวกัน


สามารถทำได้หลายวิธี พอสรุปคร่าวๆ ได้ดังนี้
  1. ใช้ยายับยั้งการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี ได้แก่ ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ได้ผลเร็ว แต่อาจมีผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่น อาการแสบแดงในตำแหน่งที่ทา นอกจากนี้ไม่ควรใช้ติดต่อเป็นระยะเวลานานๆ เนื่องจากอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ นอกจากนี้การหยุดยานี้อย่างกระทันหัน อาจทำให้ผิวหน้าที่เคยดีขึ้นกลับมาดำใหม่ได้ จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมียาที่ออกฤทธิ์ในลักษณะเดียวกัน เช่น กรดอะเซลาอิค (Azelaic acid) ก็อาจเป็นทางเลือกหนึ่งในการักษาเช่นเดียวกัน
  2. สารที่ทำให้ผิวหน้าขาวนวลที่คุ้นชื่อกันดีว่า เป็นสารจำพวกไวเทนเนอร์ (Whitener) มีด้วยกันหลายชนิด เช่น Kojic acid, Arbutin, Licorice, Vitamin C, Mulberry extract สามารถใช้รักษาฝ้าอ่อนๆ ข้อดีคือ มีความปลอดภัยสูง ไม่มีผลข้างเคียงเมื่อใช้เป็นระยะเวลานานๆ
  3. ลอกฝ้า เป็นการเร่งให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนลอกหลุดเร็วขึ้น ฝ้าจึงดูจางลง อย่างเช่น การลอกด้วยน้ำยาจำพวกกรด หรือสารจำพวกกรดวิตามินเอ สุดท้ายที่เป็นที่นิยมกันในปัจจุบัน คือ การใช้กรดผลไม้ (AHA = Alpha Hydroxy Acids) ซึ่งมีด้วยกันสองกลุ่มคือ กลุ่มที่มีความเข้มข้นต่ำไม่เกิน 15%
    สามารถใช้ทาเป็นประจำได้ทุกวัน อีกกลุ่มคือกลุ่มที่มีความเข้มข้นสูงใช้สำหรับการทำทรีทเม้นท์ ซึ่งจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือเกิดรอยไหม้ได้ หากไม่มีการเตรียมผิวที่ดีพอ โดยควรทำติดต่อกันทุก 1- 2 สัปดาห์ ประมาณ 4-6 ครั้ง ฝ้าจะดูจางลง รวมทั้งยังทำให้ผิวหน้าดูสดใสขึ้นด้วย
  4. ฝ้าแม้จะรักษาไม่หายขาดแต่หากเราได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีเหมือนที่กล่าว สามารถมีผิวหน้าสวยใสเหมือนกับคนทั่วไปได้โดยไม่ยากครับ




ทำได้โดยการทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันเพื่อปกป้องผิวจากแสงแดด โดยควรมีค่า SPF อย่างน้อย 15 เท่าเพียงปกป้องผิวจากแสงแดดได้ตลอดวัน และหลีกเลี่ยงการรับฮอร์โมนจากภายนอก ไม่ว่าการรับประทานยาคุมกำเนิด ยาจำพวกสเตียรอยด์ หรือการใช้ครีมบำรุงผิวต่างๆ ที่ไม่แน่ใจว่ามีส่วนผสมของฮอร์โมนอยู่หรือไม่

คัดลอกแล้ว
จาก 0 คน
VIEWS
11889
TAGS: